ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 500 ล้านคนได้ร่วมโครงการการกุศล ผ่านเถาเป่าและทีมอลล์ในปี 2564
จากข้อมูลของแพลตฟอร์ม Three-Hour Voluntary Service ของ อาลีบาบา กรุ๊ป พบว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 500 ล้านคนที่ซื้อสินค้าจากผู้ค้ากว่า 2.28 ล้านคนในเถาเป่าและทีมอลล์ภายใต้โครงการ “Goods for Good” การซื้อสินค้าดังกล่าวทำให้เกิดการบริจาคซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโครงการการกุศล 2,450 โครงการ นำโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่างน้อย 214 แห่ง
สินค้าในเถาเป่าและทีมอลล์กว่าสิบล้านรายการจัดอยู่ในหมวดหมู่ “Goods for Good” ซึ่งหมายความว่า ทุกการซื้อจะถูกเปลี่ยนเป็นการบริจาคเงินให้กับโครงการการกุศล
ในช่วงต้นปี 2558 อาลีบาบาได้ริเริ่มโครงการเพื่อผลักดันให้พนักงานทำงานเพื่อชุมชนอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อปี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โครงการนี้ก็ได้พัฒนากลายเป็นแพลตฟอร์ม Three-Hour Voluntary Service เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้ช่วยเหลือสังคมราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นที่มาของโครงการ “Goods for Good”
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเพื่อสังคม อาทิ การปกป้องสิ่งแวดล้อมและสัตว์ การบรรเทาสาธารณภัย และการพัฒนาการศึกษา ผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวได้โดยการแปลงจำนวนก้าวเดินให้กลายเป็นเงินบริจาค เล่นเกมอินเทอร์แอคทีฟ หรือการบริจาคเงินโดยตรง ทั้งนี้ในปี 2564 ที่ผ่านมา แพลตฟอร์มมีส่วนช่วยในงานการกุศลประมาณ 600 ล้านครั้ง หรือเรียกได้ว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนได้ทำงานเพื่อสังคมเฉลี่ย 2.5 ชั่วโมงต่อคน และช่วยสนับสนุนการทำงานขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรมากกว่า 4,300 แห่งในจีน
ในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว อาลีบาบา กรุ๊ปได้ริเริ่มโครงการที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในชนบทของจีนด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย เช่น สนับสนุนคนในชนบทที่มีความสามารถในการไลฟ์สตรีม ปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานสำหรับผลิตผลทางการเกษตร ส่งทีมงานของอาลีบาบาไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อให้คำแนะนำและการสนับสนุนโดยตรง รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ดิ้งและอีคอมเมิร์ซอีกด้วย
ทีมดีไซน์ของอาลีบาบาราว 100 คนและดีไซน์เนอร์นอกบริษัทกว่า 1,000 คนอยู่กับโครงการนี้มาตั้งแต่เปิดตัว พวกเขาทำงานโดยตรงกับเกษตรกรจาก 9 มณฑลในชนบททั่วประเทศจีน เพื่อช่วยเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์อีคอมเมิร์ซที่สามารถขายได้ในท้องตลาด
หลังจากที่ถูกส่งไปยังเขตผิงชุ่น มณฑลชานซีของจีนเมื่อกลางปีที่แล้ว หลิน ตงหง พนักงานของอาลีบาบาได้จัดฝึกอบรมการไลฟ์สตรีมอีคอมเมิร์ซ ซึ่งจัดโดยสหประชาชาติ (UN) ให้แก่คนในท้องที่ประมาณ 3,000 คน ภายในงานเธอได้เล่าว่า กว่า 60% ของสตรีมเมอร์ผู้หญิงในผิงชุ่น และ 70% ของงานที่คนในท้องที่ทำมาจากการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยตรง
นอกจากนี้ หลินยังได้แบ่งปันวิสัยทัศน์ของเธอเกี่ยวกับงานและการพัฒนาภายในท้องถิ่นว่า “ผู้หญิงในชนบทเหล่านี้มีรายได้มากกว่ารายได้เฉลี่ยและได้รับการคุ้มครองทางการแพทย์ แต่สิ่งสำคัญที่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้นคือความต้องการด้านอารมณ์ของพวกเขาในด้านครอบครัวและเพื่อนฝูง นอกจากนี้เรายังหวังว่าจะได้ช่วยสร้างหนทางในการมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลกให้แก่พวกเขา และในท้ายที่สุด พวกเขาก็จะเห็นคุณค่าในตัวเองจากงานที่ได้ทำ”
แชร์
ก๊อปปี้ลิ้งค์