ผู้บริโภคและผู้ขายบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบา ร่วมกันบริจาคเพื่อการกุศลมากกว่า 1 หมื่นล้านครั้ง ตลอดปี 2563
ผู้บริโภคและผู้ขายบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบา ร่วมกันบริจาคเพื่อการกุศลมากกว่า 1 หมื่นล้านครั้ง ตลอดปี 2563
จากข้อมูลรายงานโครงการเพื่อสังคมของอาลีบาบา กรุ๊ป ปี 2563 พบว่ามีผู้บริโภค 480 ล้านคน ผู้ขาย 2.5 ล้านราย และองค์กรการกุศลมากกว่า 3,000 แห่ง ร่วมสมทบทุนบริจาคตลอดปี จนทำให้เกิดการบริจาคบนแพลตฟอร์มรวมกันทั้งหมด 1 หมื่นล้านครั้ง ถือเป็นสถิติใหม่ของโครงการบริจาคผ่านออนไลน์
นวัตกรรมของแพลตฟอร์มออนไลน์และเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ความตั้งใจของอาลีบาบาที่จะทำให้ทุกคนช่วยเหลือสังคมได้ง่ายจากทุกที่ กลายเป็นจริง บนเถาเป่ามีสินค้าหลายสิบล้านรายการที่ผู้ขายร่วมติดป้าย “Goods for Good” ซึ่งนำรายได้จากการจำหน่ายส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือสังคมตามหัวข้อที่เลือกไว้ โดยตลอดปี 2563 มีผู้บริโภคและผู้ขายร่วมบริจาคในโครงการ Goods for Good มากกว่า 1 หมื่นล้านครั้ง และช่วยสร้างประโยชน์ให้สังคมหลายหมื่นเรื่องในหัวข้อต่างๆ เช่น
- สร้างห้องเรียนดนตรีพร้อมอุปกรณ์แบบมืออาชีพให้แก่โรงเรียนในชนบท 147 แห่ง ใน 11 เมือง มีนักเรียนได้รับประโยชน์ 109,757 คน
- สร้างสนามเด็กเล่นและมอบอุปกรณ์กีฬาใหม่ให้โรงเรียน 271 แห่ง ใน 18 เมือง สร้างประโยชน์ให้นักเรียน 141,779 คน
- ติดตั้งเครื่องกรองน้ำในโรงเรียน 236 แห่ง ใน 10 เมือง ช่วยให้ครูและนักเรียน 123,312 คนมีน้ำสะอาดดื่ม
- ส่งอาหารฟรี 450,000 ชุด ให้แก่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว
- มอบหลักประกันด้านสุขภาพให้ประชาชน 3.022 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยากจน 50 เขต ด้วยกรมธรรม์สุขภาพ และจัดโครงการบรรเทาความยากจน
- จัดฝึกอบรมให้ผู้หญิงในหมู่บ้านห่างไกล 496 หมู่บ้าน ซึ่งช่วยสร้างประโยชน์ให้เด็กยากไร้ในความดูแลมากกว่า 300,000 คน
ในการประชุมทางไกลเพื่อแถลงผลประกอบการประจำไตรมาสของบริษัท เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอ ของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทที่สร้างเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม (Platform economy) ทำให้อาลีบาบาต้องเอาจริงเอาจังเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม และนำเรื่องนี้มาเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินงานมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในอนาคต เศรษฐกิจแพลตฟอร์มจะยิ่งหลอมรวมเข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาพใหญ่ของจีนมากขึ้น เราจึงมีแผนที่จะผนวกและบรรจุเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมลงในทุกสิ่งที่เราทำ”
มีผู้ร่วมบริจาคเพื่อการกุศลโดยสมัครใจผ่านแพลตฟอร์มของอาลีบาบาโดยเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อวัน
เมื่อต้นปี 2558 อาลีบาบาได้ริเริ่มโครงการที่กระตุ้นให้พนักงานทำงานเพื่อชุมชนอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อปี จนถึงปัจจุบัน พนักงานของอาลีบาบาได้ร่วมกันสร้างสถิติโดยมีชั่วโมงการทำงานเพื่อสังคมรวมกันแล้วมากกว่า 600,000 ชั่วโมง
โครงการนี้ได้ขยายจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้จากการส่งเสริมพนักงาน ไปเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนนำเรื่องการช่วยเหลือสังคมมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยตลอดปี 2563 มีผู้ร่วมกิจกรรมบริจาคผ่านทางแพลตฟอร์มของอาลีบาบาโดยเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อวัน ซึ่งรวมถึงผู้ใช้ 36 ล้านคนที่ร่วมกิจกรรมออนไลน์เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีโครงการ “Steps for Charity” ที่ทุกหนึ่งก้าวของการวิ่งจะร่วมสมทบทุนสร้างลู่วิ่งให้กับโรงเรียนในชนบทของจีน ซึ่งผู้ใช้บนแพลตฟอร์มของอาลีบาบาได้ร่วมกันบริจาคก้าวมากกว่า 1.8 ล้านล้านก้าว และเงินบริจาคได้นำไปสร้างลู่วิ่งให้กับโรงเรียนประถม 100 แห่งในเขตชนบทที่ยากจนทั่วประเทศจีน
ในขณะเดียวเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และบล็อกเชน ได้ทำให้การบริจาคเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยมากขึ้น และเข้ามาเป็นหัวใจสำคัญในโครงการช่วยเหลือสังคมต่างๆ ของอาลีบาบา เมื่อปี 2559 บริษัทได้ริเริ่มนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ตรวจสอบเส้นทางของเงินบริจาค ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเงินบริจาคอย่างมาก อาลีบาบาจึงได้นำมาบล็อกเชนมาใช้สนับสนุนอีโคซิสเท็มของโครงการและกิจกรรมบริจาคอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นต้นมา ผู้ใช้ทุกคนบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบาสามารถตรวจสอบการนำเงินบริจาคไปใช้ได้อย่างโปร่งใส ผ่านโซลูชั่นบล็อคเชน “Charities on the Chain”
งานบรรเทาความยากจนและส่งเสริมคนในชนบทของมูลนิธิอาลีบาบา
งานบรรเทาความยากจนและส่งเสริมเกษตรกรในชนบทกลายเป็น 2 เรื่องหลักที่ผู้บริโภค ผู้ขาย นักไลฟ์สตรีม และสมาชิกอื่นๆ ในชุมชนเพื่อสังคมของอาลีบาบาให้ความสำคัญ โดยในปี 2563 เพียงปีเดียว มีนักช้อปมากกว่า 300 ล้านคนบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของอาลีบาบา ซึ่งรวมถึงเถาเป่าและทีมอลล์ ช่วยกันซื้อสินค้าจากเขตที่ยากจนของจีน 832 เขต รวมเป็นเงินมากกว่า 1 แสนล้านหยวน
จาง เจี้ยเฉิง เกษตรกรอายุ 59 ปีจากมณฑลกานซู่ เรียนรู้วิธีโปรโมทผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ลของชุมชนผ่านเถาเป่า ไลฟ์ (Taobao Live) และยังสนับสนุนให้ครอบครัวและคนในหมู่บ้านสร้างรายได้เพิ่มโดยใช้โอกาสที่มีอยู่อีกมากของเศรษฐกิจอีคอมเมิร์ซ
เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ในช่วงที่เถาเป่าจัดแคมเปญพิเศษเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในชนบท ผลิตภัณฑ์ “ลูกเกดเคลือบน้ำตาลหลากสี” ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของเขตผีชาน ในซินเจียง กลายเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่ขายที่ดีที่สุดบนแพลตฟอร์ม เกษตรท่านหนึ่งในเขตผีชานเล่าว่าลูกเกดที่จำหน่ายผ่านเถาเป่าทุก 2,500 กิโลกรัม เท่ากับช่วยบรรเทาความยากจนให้ครัวเรือนเกษตรกรได้อย่างน้อย 15 ครัวเรือน
ในปี 2562 อาลีบาบาได้เปิดตัว “คณะทำงานเพื่อบรรเทาความยากจน” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกอาวุโส 11 คนที่ถูกส่งไปยังเขตที่ยากจนเป็นพิเศษ 11 เขตของจีน เพื่อหาวิธีการนำอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มรายได้ให้กับคนในชุมชน ทางคณะทำงานได้ริเริ่มโครงการมากมายให้กับเขตเหล่านี้ เช่น การสนับสนุนคนในชนบทที่มีแววด้านการไลฟ์สตรีม และลงทุนซื้ออุปกรณ์ไลฟ์สตรีมให้ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล
หลี่ หรงฝู เป็นหนึ่งในคนที่เคยทำงานในเมืองใหญ่ แต่กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดในเขตผู่อัน มณฑลกุ้ยโจว ด้วยความช่วยเหลือขององค์กรการกุศลท้องถิ่น และคณะทำงานเพื่อบรรเทาความยากจนของอาลีบาบา หลี่ได้เปิดร้านบนเถาเป่าเพื่อจำหน่ายไก่พันธุ์ซิลกี้ หอมแดง ไข่ไก่ ชา และผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ของผู่อัน ให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศจีน ในปี 2563 ร้านของหลี่บนเถาเป่าทำสถิติยอดขายมากกว่า 3 ล้านหยวน ซึ่งนับเป็นตัวอย่างการสร้างรายได้เพิ่มแบบก้าวกระโดดให้กับครอบครัวเกษตรกรในผู่อัน
โครงการบรรเทาความยากจนของอาลีบาบาเน้นทำงานใน 5 เสาหลัก ได้แก่ การศึกษา สุขภาพ ส่งเสริมสตรี การจ้างงาน และอีคอมเมิร์ซ และเนื่องจากหัวใจสำคัญของการขจัดความยากจนคือการพัฒนาคน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาโครงการด้านการศึกษาในชนบทของมูลนิธิแจ็ค หม่า และโครงการด้านอาชีวศึกษาของมูลนิธิโจและคลาร่า ไช่ จึงมุ่งสร้างโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องให้กับครูและนักเรียนมากกว่า 170,000 คนในเขตที่ยากจนเป็นพิเศษของจีน นอกจากนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาโครงการ “Gear Up, Mulan” ที่มุ่งช่วยเหลือผู้หญิง ยังสนับสนุนด้านสุขภาพและการศึกษาให้กับผู้หญิงในพื้นที่ยากจนแล้วมากกว่า 2.38 ล้านคน
บริจาคมากกว่า 3,400 ล้านหยวน เพื่อร่วมต่อสู้ไวรัสโคโรน่าทั่วโลก
นับตั้งแต่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรน่า อาลีบาบาได้สนับสนุนด้านกำลังคน เครื่องมือ และทรัพยากรจากอีโคซิสเท็มขนาดใหญ่ของบริษัทเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดทั้งในประเทศและทั่วโลก นับถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 อาลีบาบาและแอนท์ กรุ๊ป ได้มีการบริจาคเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 รวมกันเป็นมูลค่า 3,356 ล้านหยวน ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงเงินมากกว่า 2 พันล้านหยวนในการจัดหาและขนส่งเวชภัณฑ์มากกว่า 200 ล้านชุด และการสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาวัคซีน
หลายแพลตฟอร์มธุรกิจของอาลีบาบายังออกมาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งรวมถึงผู้ขายบนทีมอลล์ โกลบอล จากประเทศไทย ที่ประสบภาวะลำบากทางธุรกิจในช่วงแรกที่เกิดโรคระบาด ตัวอย่างมาตรการเหล่านี้ เช่น การลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมบนแพลตฟอร์ม การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ย การเปิดให้ใช้ทรัพยากรด้านดิจิทัล และการจ้างพนักงานตำแหน่งชั่วคราวเพิ่มเพื่อช่วยสร้างงาน
ในเดือนเมษายน อาลีบาบาได้เปิดตัวโครงการ Spring Thunder ปี 2020 ที่ออกมาตรการเพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีและช่วยให้ธุรกิจกลับมาดำเนินได้อีกครั้ง ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เดิมเน้นการส่งออก ให้เบนเข็มมาเจาะตลาดในประเทศโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเดินสายพานการผลิต และการช่วยเหลือภาคการเกษตรให้เปลี่ยนมาสู่ดิจิทัลเพื่อสร้างรายได้ เฉพาะในปีที่ผ่านมาปีเดียว อาลีบาบาได้ช่วยให้สายพานการผลิต 2,000 แห่ง ในมณฑลและเทศบาล 20 แห่ง ปรับเปลี่ยนมาเป็นดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ
การทำงานเพื่อสังคมไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมองค์กรของอาลีบาบาเท่านั้น แต่ยังสิ่งที่จุดประกายให้หลายกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทด้วย ตัวอย่างเช่น อัลกอริธึ่มด้านกล่องพัสดุอัจฉริยะของเครือข่ายไช่เหนียว ได้ช่วยให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ลดขยะจากกล่องพัสดุลง 15% เทคโนโลยีดังกล่าวถูกนำไปใช้กับกล่องพัสดุเกือบ 530 ล้านชิ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยลดวัสดุที่ใช้ผลิตกล่องลง เทียบเท่ากับลดการตัดต้นฮาโลไซลอนที่ใช้ผลิตกระดาษได้ถึง 3.93 ล้านต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ เช่น “Ant Forest” และโครงการรีไซเคิล Idle Fish ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอาลีบาบาในการเป็นจุดหมายปลายทางที่ครบวงจรในแง่ของการทำงานเพื่อสังคมที่สนับสนุนเรื่องความยั่งยืน นับตั้งแต่การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการส่งเสริมความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน
แดเนียล จาง กล่าวว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคมไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินและธุรกิจของอาลีบาบาเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในทุกเรื่องที่เราทำ ในฐานะบริษัทผู้สร้างแพลตฟอร์ม”
แชร์
ก๊อปปี้ลิ้งค์