อาลีบาบา เตรียมพร้อมซัพพลายเชน รับมหกรรมช้อปปิ้ง 11.11
การระบาดของไวรัสโคโรน่าได้สร้างความท้าทายมากขึ้นต่อแบรนด์และร้านค้า ที่เข้าร่วมมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ในปีนี้ ซึ่งเป็นงานช้อปปิ้งประจำปีสุดยิ่งใหญ่ของอาลีบาบา
ในช่วงมหกรรม 11.11 ระหว่างปลายเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน จะมีนักช้อปที่ใช้บริการไช่เหนียว เน็ตเวิร์ค ที่เป็นเครือข่ายโลจิสติกส์ของอาลีบาบา กรุ๊ป จำนวนมากเพื่อส่งสินค้า โดยนับเป็นจำนวนผู้ซื้อที่มากกว่าจำนวนประชากรของบราซิล ฝรั่งเศส สหรัฐ รัสเซีย และเม็กซิโก รวมกัน
วิลเลียม เจียง หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และผู้จัดการทั่วไปด้านโลจิสติกส์ส่งออก ของไช่เหนียว กล่าวว่า “ระบบโลจิสติกส์ที่ดีเยี่ยม คือปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังทุกเทศกาลช้อปปิ้ง เพื่อให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าอย่างเชื่อถือได้”
แม้ว่าขนาดของงาน 11.11 จะใหญ่ขึ้น แต่ไช่เหนียวได้มองหาแนวทางต่อเนื่องเพื่อยกระดับการบริการให้ราบรื่น
โดยอาลีบาบาคาดว่าจะมีผู้ขาย 290,000 รายเข้าร่วมงาน เพื่อนำเสนอดีล 14 ล้านดีล ให้กับนักช้อปมากกว่า 900 ล้านคนในมหกรรมช้อปปิ้งนี้
ไช่เหนียวมีการยกระดับความพร้อมของเครือข่าย นับตั้งแต่คลังสินค้าอัจฉริยะ และศูนย์จัดส่งสินค้า รวมถึงล็อคเกอร์อัจฉริยะ ไปจนถึงการเพิ่มเครื่องมือที่สามารถคัดแยกและรวมพัสดุที่มีที่อยู่เดียวกันหลายๆ ชิ้นเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ส่งสินค้าถึงผู้บริโภคได้ทันเวลาในช่วง 11.11 ไช่เหนียวได้สำรองสินค้ามากกว่า 300 ล้านชิ้นจาก 87 ประเทศในทุกภูมิภาคทั่วโลก เอาไว้ที่คลังสินค้าในจีน ซึ่งรวมถึงสินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
วิลเลียม กล่าวเสริมว่าจุดประสงค์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ขายส่งสินค้าได้ทันเวลา และลดความไม่พึงพอใจของผู้บริโภค ทำให้ร้านค้าได้รับเรตติ้งดีขึ้นและมียอดขายเพิ่มขึ้น บริการของไช่เหนียวทำให้ผู้ขายไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับการสร้างระบบโลจิสติกส์จากศูนย์ด้วยตนเอง และสามารถทุ่มเทให้กับการออกแบบสินค้าและทำการตลาดได้อย่างเต็มที่
สินค้าตกค้างในซัพพลายเชนทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นหลังจากการขนส่งและเที่ยวบินมีความล่าช้า ส่วนมาตรการล็อคดาวน์ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ยังทำให้การผลิตสินค้าของแบรนด์ต้องหยุดชะงักหลายสัปดาห์ จากข้อมูลของสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติ รายงานว่าเกือบ 90% ของเจ้าของธุรกิจขนาดย่อมในสหรัฐระบุว่าการหยุดชะงักของซัพพลายเชนได้ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของบริษัท
ปัญหาดังกล่าวถือเป็นการเดิมพันที่สูง โดยเฉพาะกับบริษัทขนาดเล็กที่พึ่งพาจีนเป็นตลาดในการสร้างการเติบโต และมองมหกรรม 11.11 เป็นโอกาสในการทดลองตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคจีนมากขึ้น
เจมส์ จ้าว ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายซัพพลายเชนทั่วโลก ของไช่เหนียว กล่าวเสริมว่า “แบรนด์และผู้ขายรายใหญ่มีความพร้อมด้านทรัพยากรในการรับมือกับวิกฤตและสถานการณ์ได้หลายรูปแบบ แต่สำหรับผู้ขายขนาดกลางและขนาดย่อมทั้งระดับท้องถิ่นและระหว่างประเทศ จะอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนต่างๆ มากกว่า เห็นตัวอย่างได้จากโรคระบาดที่เกิดขึ้น”
แบรนด์ที่เปิดตัวในยุคดิจิทัลอย่าง Vegamour มีการติดตามดูข้อมูลสินค้าอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้อย่างสูงสุด
แดน ฮอด์จดอน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแบรนด์ดูแลเส้นผม Vegamour กล่าวว่า “เราปล่อยให้ขาดตลาดไม่ได้ เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกผิดหวัง ดังนั้นทางแบรนด์จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีสินค้าจำหน่ายอยู่เสมอ”
Vegamour ประสบปัญหาสินค้าตกค้างที่ท่าเรือลอสแอนเจลลิส จึงเปลี่ยนมาส่งสินค้าไปจีนทางเครื่องบินแทนเพื่อให้ทันกับมหกรรม 11.11 นอกจากนี้ยังใช้การสนับสนุนของทีมอลล์ โกลบอล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าข้ามพรมแดนของอาลีบาบาอีกด้วย
เริ่มก่อนได้เปรียบ
ทีมอลล์ โกลบอล มีการเตรียมความพร้อมสำหรับแบรนด์ต่างประเทศมาตั้งแต่เดือนมีนาคม เพื่อให้แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ล่วงหน้า
ซัพพลายเชนของทีมอลล์ โกลบอล ได้ส่งคาดการณ์มหกรรม 11.11 ให้กับแบรนด์ต่างๆ ล่วงหน้า นอกเหนือจากการเตรียมสต็อกสินค้าไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน หรือพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฏหมายว่าด้วยศุลกากรเพื่อใช้สำหรับเก็บสินค้า โดยแบรนด์ที่เข้าร่วมตั้งแต่เนิ่นๆ ยังได้รับการสนับสนุนที่มากกว่าด้วย
ทีมอลล์ โกลบอล ช่วยให้แบรนด์พร้อมรับมือความท้าทายและสถาณการ์ที่เลวร้าย เช่น หากเกิดสภาพอากาศแปรปรวนจนทำให้เที่ยวบินระหว่างลอสแอนเจลิลสและเซี่ยงไฮ้ต้องยกเลิก สินค้าก็จะถูกจัดส่งไปยังเมืองใกล้เคียงแทนได้อย่างรวดเร็ว
การเตรียมความพร้อมดังกล่าวกำลังเริ่มส่งผล เห็นได้จากการที่จีนกำลังจะก้าวไปเป็นประเทศแรกในประวัติศาสตร์ของโลกที่มีมูลค่าการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ โดยจากข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด eMarketer ระบุว่าในปี 2564 ผู้บริโภคจีนจะซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นมูลค่าสูงถึง 2.78 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ทดสอบก่อนวันจริง
เมื่อความนิยมของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากโรคระบาด ไช่เหนียวได้เรียกประชุมพันธมิตรในเครือข่ายทั้งหมด 3,000 รายเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและนำทรัพยากรมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ
เจมส์กล่าวว่า “ไช่เหนียวมีการพัฒนาความสามารถอย่างต่อเนื่อง โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาที่คาดไม่ถึงต่างๆ เราสามารถลดปัญหาเกิดขึ้นได้ด้วยการทำงานร่วมกับเครือข่าย และใช้เทคโนโลยีและการพยากรณ์จากข้อมูลในอดีต”
สำหรับผู้ซื้อสินค้าข้ามพรมแดนในเอเชียเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไช่เหนียวได้ช่วยเหลือผู้ขายบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบาทั้งทีมอลล์ เถาเป่า และลาซาด้า ด้วยการเพิ่มพื้นที่บรรจุสินค้าในเที่ยวบิน 1,350 เที่ยว และรถบรรทุก 150 คัน รวมถึงเรือขนส่งสินค้า 210 เที่ยว ที่มีตู้คอนเทนเนอร์ 1,170 ตู้
เจมส์กล่าวด้วยว่า “ตลาดของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนยังมีโอกาสอีกมาก เราจะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างคุณค่าผ่านการร่วมมือกับผู้ขายและพันธมิตร”
โรคระบาดยังทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ โดยไช่เหนียวได้ยกระดับคลังสินค้าอัจฉริยะในจีนด้วยการเพิ่มบริการโลจิสติกส์ครบวงจร เพื่อสนับสนุนความต้องการส่งออกสินค้าของผู้ขายให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบคัดแยกคำสั่งซื้ออัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญประดิษฐ์ ที่สามารถรวมพัสดุที่มีที่อยู่เดียวกันหลายๆ ชิ้นที่ส่งถึงที่อยู่เดียวกันเข้าด้วยกันเพื่อจัดส่งอย่างรวดเร็วในคราวเดียว
การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมดังที่กล่าวมา ใช้แนวทางแบบไฮบริดที่ผสานทั้งทรัพยากรของบริษัท การเช่าซื้อ และพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อประโยชน์ของผู้ขายและร้านค้า
โทนี่ ชาน ประธานของทีมอลล์ โกลบอล สหรัฐ กล่าวว่า “ศักยภาพที่กว้างขวางด้านโลจิสติกส์ของเครือข่ายไช่เหนียวทั่วโลกถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาดซึ่งมีสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นมากมาย”
มาตรการเหล่านี้ล้วนช่วยทำให้ชีวิตของนักช้อปง่ายขึ้น เพียงแค่รออยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ สินค้าที่สั่งซื้อไม่ว่าจะเป็นแชมพู เครื่องรีดผม ตู้เย็นประหยัดพลังงาน หรือสินค้าอีกมากมายที่เข้าร่วมใน 14 ล้านดีล ก็จะมาส่งให้ถึงที่
แชร์
ก๊อปปี้ลิ้งค์